วันศุกร์, ธันวาคม 23, 2554

เสฉวนน่าเที่ยวเมืองแห่งมรดกโลก


เสฉวนน่าเที่ยวเมืองแห่งมรดกโลก

วันก่อนมีโอกาสไปร่วมงานโปรโมทการท่องเที่ยวแห่งมณฑลเสฉวนประเทศจีนมา ได้เห็นสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจเอยะแยะ ยอมรับว่าขนาดแค่มณฑลเดียวที่เที่ยวเยอะแยะเหลือเกิน แต่ละที่ก็อลังการงานสร้างไม่ต้องบรรยาย เพราะรู้ๆกันอยู่ว่าที่จีนเวลาเขาจะทำอะไรต้องยิ่งใหญ่ตื่นตาตื่นใจ(ข้อนี้ต้องนับถือว่าจีนเขาจริงจังจริงๆ)
เที่ยวเสฉวนกันเถอะ
เอาละเรามาเข้าเรื่องเที่ยวกันดีกว่า มณฑลเสฉวนอยู่บริเวณทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีนมีเนื้อที่ประมาณ485,000ตร.กม. เชื่อหรือไม่ว่าในเสฉวนจะมีชนเผ่าเล็กเผ่าน้อยกว่า16ชนเผ่าเลยทีเดียว ประชากรก็แค่90ล้านคนเศษ(โอ้ แค่มณฑลเดียวก็ใหญ่กว่าไทยแล้วหรือนี่-กรุณาอ่านด้วยน้ำเสียงตกใจ) ถ้าพูดถึงด้านภูมิศาสตร์จะเห็นว่าแตกต่างกันอย่างมากเพราะด้านตะวันตกเป็นที่ราบสูง ตอนกลางจะเป็นแอ่งกระทะแต่ทางตะวันออกจะเป็นเทือกเขาสูงชัน และนี่ก็ได้กลายเป็นแหล่งทรัพยากรด้านการท่องเที่ยวที่หลากหลายนั่นเอง
เหมาะกับการถ่ายภาพอย่างยิ่ง
นอกจากนี้แล้วยังประกอบไปด้วยแม่น้ำสายต่างๆกว่า1,400สาย ทะเลสาบกว่า1,000แห่งและธารน้ำแข็งกว่า200แห่ง เรียกได้ว่าที่นี่จะมีแหล่งน้ำชนิดต่างๆอยู่กระจายไปทั่วมณฑล

แหล่งท่องเที่ยวทื่เป็นมรดกโลก

เฉพาะในมณฑลเสฉวนก็มีสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นมรดกโลกกว่า5แห่งและถือว่ามากที่สุดในบรรดามณฑลอื่นๆ แต่จะมีที่ท่องเที่ยวจุดไหนที่ได้รับการรับรองจากUNESCOนั้น ติดตามมาดูกันเลยครับ

1. 九寨沟จิ่วไจ้โกว ได้รับการรับรองเป็นแหล่งมรดกโลกในเดือนธันวาคม ค.ศ.1992.
ห่างจากตัวเมืองเฉิงตูไปทางทิศเหนือประมาณ330กิโลเมตรและถือเป็นเขตอนุรักษ์แห่งชาติจีน ลักษณะพิเศษของจิ่วไจ้โกวจะอยู่บริเวณหุบเขาที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้ลำธารและแอ่งบึงหินปูนมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่จะเห็นใบไม้เปลี่ยนสีที่ตัดกับสีน้ำเงินของท้องฟ้าและผืนน้ำใสบริสุทธิ์ ยิ่งทำให้คนที่ไปต้องเก็บภาพจนเมื่อยมือเลยทีเดียว เล่าไปแล้วเดี๋ยวจะหาว่าโม้ ไปดูภาพประกอบกันดีกว่า
ทะเลสาบยาวหรือฉางไห่
น้ำตกนั่วยื่อหลาง
ทะเลสาบห้าสี
ทะเลสาบแรด
2.  黄龙หวงหลง ได้รับการรับรองเป็นแหล่งมรดกโลกในเดือนธันวาคม ค.ศ.1992 พร้อมกับจิ่วไจ้โกว ไฮไลท์ที่นี่ก็คือแอ่งหวงหลง 黄龙沟 ซึ่งเป็นธารน้ำที่ไหลจากทิศใต้ไปทางทิศเหนือในหุบเขา หิมะและธารน้ำแข็งที่ละลายจะไหลรวมกับน้ำป่าลงสู่แอ่งหวงหลงมานานหลายพันปี จนทำให้เกิดเป็นกลุ่มของแอ่งหินปูนน้อยใหญ่อยู่มากมาย ที่เห็นจะโดนที่สุดก็ความใสของน้ำที่นี่ใสมากและเมื่อสะท้อนกับแสงแดดและเงาของต้นไม้ต่างๆก็ทำให้มองเห็นเป็นสีสันออกมาอย่างสวยงาม (โดนอย่างแรง)
น้ำในบึงใสมาก สะท้อนเป็นสีเขียวมรกต
แอ่งหินปูนที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ

3. 峨眉山-乐山大佛เขาง๊อไบ๊หลวง-พ่อโตเล่อซาน เขาง้อไบ๊หรือออกเสียงในภาษาจีนกลางว่าเอ๋อเหมยซานกับองค์พระใหญ่เล่อซาน ได้รับการรับรองเป็นแหล่งมรดกโลกในเดือนธันวาคม ค.ศ.1996 นี่คือหนึ่งในสี่ของพุทธคีรีมีชื่อโด่งดังในจีน ยอดสูงสุดว่านฟ๋อติ่ง万佛顶สูงกว่าระดับน้ำทะเลกว่า3,099เมครเลยทีเดียว เขาง๊อไบ๊อุดมไปด้วยพฤกษานานาพันธ์และพรรณไม้หายากกว่า3,000ชนิด นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของวัดกว่า26แห่ง และเป็นที่ประดิษฐานของพระโพธิสัตว์ทรงหลังช้างทองคำที่มีชื่อเสียงอีกด้วย โดยในแต่ละปีจะมีผู้คนมากราบไหว้สักการะเป็นจำนวนมาก ส่วนด้านตะวันออกประมาณ37กิโลเมตรจะเป็นเส้นทางทางที่ไปพระใหญ่เล่อซาน乐山大佛ซึ่งถือเป็นพระองค์นั่งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศจีน
บนยอดเขาง๊อไบ๊เป็นที่ประดิษฐานของพระโพธิ์ธิสัตว์ผู่เสียนทรงช้าง
หลวงพ่อโตเล่อซาน

4. 青城山-都江堰เขาชิงเฉิง-ตูเจียงเยี่ยน เขาชิงเฉิง-ตูเจียงเยี่ยน ได้รับการรับรองเป็นแหล่งมรดกโลกในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.2000เขาชิงเฉิงเป็นหนึ่งในจุดกำเนิดแห่งลัทธิเต๋าซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองตูเจียงเยี่ยน มีความอุดมสมบูรณ์และเขียวขจีรื่นรม บนเขาแห่งนี้สามารถพบวัดและสำนักลัทธิเต๋าอยู่มากมาย ปัจจุบันได้เป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับประเทศและเหมาะสำหรับผู้ต้องการหาความสงบศึกษาธรรมะอย่างยิ่ง

ตูเจียงเยี่ยนหรือระบบชลประทานตูเจียงเยี่ยน ถือเป็นระบบชลประทานขนาดใหญ่ในสมัยอดีตที่ยังคงใช้อยู่ในปัจจุบันเพียงแห่งเดียวของโลกเท่านั้น ก่อสร้างเมื่อปีก่อนค.ศ.256ปี โดยเพื่อเป็นการป้องกันภัยน้ำท่วมและผันน้ำให้แก่ประชาชนในช่วงหน้าแล้ง ซึ่งในแถบบริเวณนี้นั้นยังมีโบราณสถานและทิวทัศน์สวยงามมากมาย
เขื่อนตูเจียงเยี่ยน

5. 大熊猫栖息地 แหล่งอาศัยหมีแพนด้ายักษ์ แหล่งอาศัยหมีแพนด้ายักษ์ ได้รับการรับรองเป็นแหล่งมรดกโลกในเดือนกรกฎาคม ค.ศ.2006 มณฑลเสฉวนเป็นแหล่งกำเนิดหมีแพนด้าที่สำคัญของโลกโดยคิดเป็นจำนวน30%ของหมีแพนด้าทั้งหมด เสฉวนอุดมไปด้วยพืชพันธ์มากมายและสภาพภูมิอากาศที่เหมาะกับการดำรงชีวิตของเหล่าหมีแพนด้า(ตาดำๆ) โดยประกอบไปด้วยเขตอนุรักษ์ธรรมชาติกว่า7แห่งและสถานท่องเที่ยวอีกก่วา9แห่งทั่วเสฉวน ใครที่มาท่องเที่ยวที่นี่จะต้องไม่พลาดชมหมีแพนด้าเด็ดขาด เพราะนี่คือหนึ่งไฮไลท์ที่ถ้าคุณพลาดแล้วจะต้องเสียใจแน่นอน
แพนด้ากำลังนอนกินอย่างสบายใจ

โชว์เปลี่ยนหน้ากาก



โชว์เปลี่ยนหน้ากาก

ชุดการแสดงเปลี่ยนหน้ากาก
การแสดงชุดนี้นั้นมีชื่อในภาษาจีนกลางว่า川剧变脸chuān jù biàn liǎnหรืออ่านเป็นภาษาไทยว่า ชวน จวี้ เปี้ยน เหลี่ยน แปลว่า การแสดงเปลี่ยนหน้างิ้วเสฉวน เป็นลักษณะพิเศษของตัวละครประเภทนี้ เป็นวิธีการแสดงให้ผู้ชมรับรู้ถึงอารมณ์ของตัวละครในเรื่องผ่านทางลักษณะการแต่งแต้มบนหน้ากากนั่นเอง

หลายๆคนที่เคยไปเมืองจีนเชื่อเหลือเกินว่าต้องเคยเห็นผ่านตามาบ้างแล้วอย่างแน่นอน ส่วนคนที่ไม่เคยไปที่จีนก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสได้ชม เพราะในช่วงงานตรุษจีนหรืองานนิทรรศการท่องเที่ยวในไทยก็มีการเชิญนักแสดงเหล่านี้มาแสดงโชว์ในเมืองไทยไม่น้อยเลยทีเดียว

ถึงแม้ว่าจะเป็นการแสดงของเสฉวนแต่การแสดงชุดนี้ได้รับความนิยมอย่างมากเพราะดูสนุก ขณะแสดงก็จะมีเพลงประกอบตื่นเต้นเร้าใจ คนดูก็ตั้งหน้าตั้วตาจับผิดให้ได้ว่าแอบซ่นอะไรไว้ตรงไหน แต่เชื่อไหมละว่าจนแล้วจนรอดจับไม่ได้สักที

ถ้าพูดถึงที่มาของหน้ากากแล้วว่ากันว่าในสมัยอดีตกาลนานเหลือเกินจะบรรยาย(นานเกินไปเปล่า) มนุษย์จะต้องเผชิญกับเหล่าสัตว์ป่าและต้องออกล่าสัตว์ประทังชีวิตนั้น มนุษย์จะเป็นฝ่ายถูกสัตว์ป่าที่ใหญ่และแข็งแรงกว่าทำร้าย นานเข้าจึงต้องคิดหาวิธีป้องกันตัวที่ได้ผล ซึ่งต่อมาก็ได้เริ่มนำพวกดินโคลนมาทาตัวและตามใบหน้าเพื่อพลางตัว ต่อมาก็มีการพัฒนาขึ้นมาโดยทำเป็นหน้ากากขึ้น แล้วแต่งเติมให้มีสีสันลวดลายเพื่อใช้สวมใส่ คราวนี้ได้ผลเกินห้ามใจ เพราะสัตว์ทั้งหลายจะเริ่มหวาดกลัวไม่กล้าที่จะเข้าใกล้มนุษย์ (มันคงคิดในใจว่า นี่มันตัวอะไรกันฟะ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยพบเคยเจอ)
หน้ากากจะมีลวดลายสีสันที่แตกต่างกัน

ต่อมาในสมัยราชวงศ์หมิงก็ได้ถือกำเนิดศิลปะการแสดงอุปรากรจีนชนิดหนึ่งขึ้นที่เรียกกันว่า“งิ้ว” ซึ่งได้รับความนิยมในแถบภาคกลางของมณฑลเสฉวน四川(Sìchuān)อันได้แก่ เมืองฉงชิ่ง重庆(Chóngqìng) เมืองกุ้ยโจว贵州(Guìzhōu) และบางเมืองในมณฑลยุนนาน云南(Yúnnán)ประเทศจีน แต่ที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับมากที่สุดจะเป็นการแสดงของงิ้วเสฉวน โดยนักแสดงที่เปลี่ยนหน้ากากนั้นจะมีเทคนิคชั้นสูงในการเปลี่ยนหน้ากาก เรียกว่าแค่กระพริบตาเดียวก็เปลี่ยนจากหน้าหนึ่งไปอีกหน้าหนึ่งได้ทันที(ไม่ต้องมีเอฟเฟคใดๆ เปลี่ยนกันต่อหน้าเห็นๆ) บางคนถึงขนาดนั่งด้านหน้าจ้องจะจับผิดจนแล้วจนรอดก็จับไม่ได้สักที วันนี้ก็เลยจะมาไขข้อข้องใจบางส่วนให้ได้รู้กัน คราวหน้ามีโอกาสไปดูก็ลองสังเกตุดูนะคร้าบ

เทคนิคการเปลี่ยนหน้านั้นมีอยู่ด้วยกัน3แบบ
แอ๊คชั่นท่านี้เท่ห์ไหม


แบบที่1 เทคนิคลูบสี
วิธีจะใช้สีน้ำมันทาไว้ตามจุดบนใบหน้า เมื่อต้องการจะเปลี่ยนหน้าก็ใช้มือลูบที่ใบหน้าตรงจุดที่แต้มสีน้ำมันไว้

แบบที่2 เทคนิคเป่าสี
จะใช้สีหรือแป้งฝุ่น ดดยนักแสดงจะเตรียมแป้งฝุ่นไว้ในถ้วยและวางซ่อนไว้บนจุดอับบนเวที เมื่อต้องการเปลี่ยนหน้าก็วิ่งเข้ามาเป่าแป้งที่เตรียม เท่านี้ผู้ชมก็จะเห็นใบหน้าของนักแสดงมีสีสันที่เปลี่ยนไป

แบบที่3 เทคนิคชั้นสูงซ่อนหน้ากาก
และนี่ก็เป็นเทคนิคชั้นเซียนที่ต้องอาศัยการฝึกฝนและความชำนาญอย่างยิ่ง(ขอบอก) เริ่มแรกนั่นจะต้องเตรียมแผ่นผ้ามาหนึ่งผืน นำมาตัดขอบให้พอดีกับตัวหน้ากาก หลังจากนั้นก็ลงมือวาดรูปและลวดลายลงบนผืนผ้าที่เตรียมไว้ ร้อยเส้นด้ายบนแผ่นหน้ากากให้เรียบร้อย ส่วนปลายเส้นด้ายอีกด้านหนึ่งก็ผูกติดกับชุดคลุมของนักแสดง ทำขั้นตอนนี้ซ้ำและนำแผ่นผ้าหน้ากากที่จัดเตรียมไว้มาซ้อนทับกันตามต้องการ
โชว์เปลี่ยนหน้ากากชุดใหญ่พร้อมพ่นไฟ

เที่ยวปักกิ่ง เมืองประวัติศาสตร์แห่งยุคดิจิตอล

เที่ยวปักกิ่ง เมืองประวัติศาสตร์แห่งยุคดิจิตอล

พูดถึงประเทศจีนคงไม่มีใครที่ไม่รู้จักและคงยอมรับกันอย่างเป็นทางการว่าเป็นประเทศที่กำลังจะก้าวทะยานไปสู่มหาอำนาจของโลกในอนาคตจีนนั้นมีเนื้อที่กว่างใหญ่ไพศาล ขนาดไหนนะเหรอ เอาเป็นว่าแค่มณฑลของเขาแค่มณฑลเดียวยังใหญ่กว่าประเทศไทยเลย ประชากรก็ไม่ต้องพูดถึง นี่ยังไม่ต้องไปนับรวมถึงบรรดาคนจีนที่โอนสัญชาติไปต่างประเทศหรือเหล่าบรรดาชาวจีนโพ้นทะเล คนละเรื่องกับประเทศไทย

ย่านช้อปปิ้งใจกลางกรุงปักกิ่ง
ใครที่ไม่เคยไปท่องเที่ยวในจีนขอแนะนำว่าควรไปจะไปที่ปักกิ่งกันเสียก่อน เพราะที่นี่ถือเป็นศูนย์กลางของประเทศ ปักกิ่งหรือออกเสียงในภาษาจีนว่าเป่ยจิง(北京)เป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นศูนย์กลางทางการเมืองการปกครอง วัฒนธรรม และการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ และถือเป็น1ใน4ของการปกครองระดับเทศบาลนครของจีนนักท่องเที่ยวที่ไปปักกิ่งจะได้เข้าใจถึงวัฒนธรรมสังคมและความเป็นอยู่ของชาวจีน นอกจากนี้แล้วยังสามารถเห็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ในอดีตมากมาย ซึ่งในปัจจุบันก็ได้ผสมผสานกลมกลืนไปกับความเจริญในยุคดิจิตอลได้อย่างลงตัวและมีเอกลักษณ์

ปักกิ่งมีประวัติศาสตร์มาตั้งแต่เมื่อสามพันกว่าปีก่อน มีชื่อเรียกมากมายไม่ว่าจะเป็นเยี่ยนตู เยี่ยนจิง ต้าตู เป่ยผิง จิงซือ ซุ่นเทียนฝู่ จนกระทั่งเปลี่ยนมาใช้ชื่อปักกิ่งในปีค.ศ1949 ปักกิ่งตั้งอยู่ทางที่ราบทางตอนเหนือของจีน ทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ติดมาเมืองเทียนจินหรือเทียนสิน ส่วนที่เหลือจะโดนโอบล้อมจากมณฑลเหอเป่ย มีพื้นที่ประมาณ 16,410ตารางกิโลเมตร ประกอบไปด้วย14เขต2อำเภอ ประชากร 19,610,000ล้านคน (สถิติ2010) แค่เมืองเดียวก็1ใน3ของไทยแล้ว เยอะจริงๆ ในส่วนภูมิอากาศนั้นในช่วงฤดูร้อนอากาศร้อนอบอ้าวและมีฝนตก ส่วนฤดูหนาวอากาศหนาวเย็นและแห้งแล้ง ดังนั้นก่อนการเดินทางควรตรวจสอบสภาพอากาศให้แน่ชัดเพื่อจะได้เตรียมเสื้อผ้าได้อย่างเหมาะสมนะจ๊ะ และที่สำคัญเวลาในประเทศจีนจะเร็วกว่าไทยอยู่1ชั่วโมง

ระบบขนส่งมวลชน
การเดินทางในปักกิ่งนั้นถือว่าสะดวกเป็นอันมาก มีทั้งรถโดยสารประจำทาง รถแท๊กซี่และรถไฟฟ้าใต้ดินที่ทำครอบคลุมภายในเมืองปักกิ่งและยังขยายไปสู่ชานเมืองอีกด้วย (แล้วกรุงเทพเมื่อไหร่จะมีคลอบคลุมกันเสียที จะได้ลดการรถติดได้มากกว่านี้) ที่สำคัญถ้าราคาค่าโดยสารถูกกว่านี้ก็จะดีมากจะเป็นการรณรงค์ให้คนใช้รถไฟฟ้ากันมากขึ้น ดูอย่างค่าโดยสรรถไฟฟ้าใต้ดินของปักกิ่งคิดแบบถัวเฉลี่ยใกล้ไกลแค่ไหนราคาเดียวแค่2หยวน(ประมาณ10บาทเอง) ว่าแล้วตอนนี้จะพาทุกๆท่านไปดูแผนที่รถไฟฟ้าใต้ดินปักกิ่งกัน

แผนที่เส้นทางรถไฟฟ้าใต้ดิน

สถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาด

  • จตุรัสเทียนอันเหมิน สถานที่แห่งนี้ที่มีประวัติศาสตร์ทางการเมืองมาอย่างยาวนานเหมือนกับอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยของไทยเรานั่นเอง โดยในปัจจุบันต้องถือว่าเป็นจตุรัสที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเพราะที่เนื้อที่เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว่า440,000ตารางเมตร นอกจากนี้แล้วบริเวณโดยรอบยังเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญและสถานราชการมากมาย อาทิ มหาศาลาประชาคมของพรรคคอมมิวนิสต์ อนุสรณ์สถานวีรชน พิพิธภัณฑ์สถานแห่งประชาชนจีน หอรำลึกประธานเหมาเจ๋อตุง เป็นต้น


แผนที่แสดงที่ตั้งสถานสำคัญที่เทียนอันเหมิน

  • พระราชวังกู้กง หรือที่เรารู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่าเมืองต้องห้าม เคยเป็นพระราชวังในสมัยราชวงศ์หมิงและชิง เริ่มก่อสร้างในสมัยจักรพรรดิ์หย่งเล่อปีค.ศ.1406 และแล้วเสร็จในปีค.ศ.1420มีอายุเก่าแก่กว่า600ปี เนื้อที่พระราชวังประมาณ72,000ตารางเมตร มีห้องทั้งสิ้น8พันกว่าห้อง ถือเป็นพระราชวังที่ที่มีขนาดใหญ่และสมบูรณ์ที่สุดในโลกอีกด้วย


Forbidden City


  • พระราชวังฤดูร้อนอี๋เหอหยวน เป็นพระราชวังในสมัยราชวงศ์ชิง ตั้งอยู่บริเวณทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองปักกิ่ง ห่างจากตัวเมืองไปประมาณ15กิโลเมตร ถือเป็นหนึ่งในสี่ของสวนอุทยานขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสี่ยงของประเทศจีนและมีเนื้อที่มากที่สุดอีกด้วย โดยเริ่มก่อสร้างมาตั้งแต่ค.ศ.1750 และแล้วเสร็จสมบูรณ์ในปีค.ศ.1764 รวมเนื้อที่ทั้งสิ้นกว่า2,900ตารางกิโลเมตร

น้ำในลำธารอี๋เหอหยวนจับตัวเป็นแผ่นน้ำแข็ง

  • หอบูชาฟ้าเทียนถาน ในประเทศจีนมีหอบูชาฟ้าอยู่สองแห่ง แห่งหนึ่งตั้งอยู่เมืองซีอานมณฑลส่านซี ส่วนอีกแห่งหนึ่งก็ตั้งอยู่ในเมืองหลวงปักกิ่งและมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันมากกว่า ในสมัยราชวงศ์หมิงและชิงจักรพรรดิ์จะจัดพิธีบวงสรวงเทพยดาและสำหรับการทำพิธีบูชาฟ้าเพื่อขอฝนและขอให้ธัญญาหารต่างๆอุดมสมบูรณ์ โดยสร้างขึ้นในปีค.ศ.1420 และต่อมาในปีค.ศ.1998ก็ได้รับการรับรองให้เป็นแหล่งมรดกโลกแห่งใหม่โดยคณะกรรมการUNESCO
สีขอบฟ้าตัดกับหอฟ้าเทียนถาน

  • กำแพงเมืองจีน หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก(ทำไมต้อง7สิ่งด้วย)ที่ไม่ควรพลาดชมเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะคนที่เดินทางมาถึงที่ปักกิ่งแล้วจะต้องขึ้นกำแพงเมืองจีนสักครั้ง มีสำนวนจีนหนึ่งกล่าวว่า “不到长城非好汉”ผู้ไม่เคยไต่กำแพงเมืองจีนมิใช่ชายชาตรี เป็นกำแพงเมืองที่สร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันการรุกรานจากเหล่าศัตรู โดยแต่ละช่วงของกำแพงเมืองนั้นสร้างมาตั้งแต่อดีตในยุคสมัยที่ต่างกันตั้งแต่ศตวรรษที่14เป็นต้นมา มีความยาวทั้งสิ้น8851.8กิโลเมตร
กำแพงหมื่นลี้ที่ใครก็อยากพิสูจน์